เทศน์พระ

หน้าที่

๓๑ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

หน้าที่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ พระเราจะลงอุโบสถนะ อุโบสถศีล ศีล ๘ กับศีลอุโบสถก็ต่างกัน แล้วพระลงอุโบสถ เราลงอุโบสถกันเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ เวลาเราลงอุโบสถสมัยพุทธกาลมันเป็นภาษาบาลี แล้วพระสมัยพุทธกาลก็เข้าใจ เพราะใครเป็นอาบัติก็สะกิดกัน มันทำให้เราสะอาด

ธรรมและวินัยนี้จะพัดซากศพเข้าสู่ฝั่ง ทะเลนี้ไม่ยอมรับความสกปรก ทะเลนี้ถ้ามีสิ่งใดสกปรกมันจะซัดเข้าสู่หาฝั่งตลอดเวลา นี้ก็เหมือนกันเราแสดงอุโบสถศีล ศีลของพระ แล้วถ้าใครมีข้อผิดพลาดสิ่งใด เราก็สะกิด บอกกันเอาไว้ว่าเราเป็นอาบัติข้อนี้ ข้อนี้จะปลงอาบัติ

แต่ในสมัยนี้ปัจจุบันนี้ ในเมื่อพระเรานะ ภาษาบาลีพูดได้ บางองค์ได้มหานะ บาลียังไม่แตกฉานเลย ถ้าได้เป็นมหาบาลีแตกฉานเป็นภาษาหนึ่ง ภาษามคธ นี้ภาษามคธเป็นภาษาต้นแบบ เราไม่ทิ้ง เราสวดอุโบสถ

ถ้าใครได้ปาติโมกข์จะเข้าใจเนื้อความได้ดีมากกว่า แต่ถ้ายังไม่ได้ปาติโมกข์เราก็ฟัง ฉะนั้นเราป้องกันการมุสา เวลาเราปลงอาบัติกัน เราปลงอาบัติว่าถ้ามันเป็นสิ่งนั้นแล้วเราไม่เป็นอาบัติ

ที่นี้เราทำในพุทธกิจ เวลาเราสวดปาติโมกข์ กิจในการกระทำ สาธุ สาธุ มันเป็นการกระทำนะ ในกิจของสงฆ์ ในการจัดอาสนะต่างๆ เริ่มต้นบุพกิจก่อน บุพกิจ..กิจของสงฆ์ร่วมกัน การเก็บ การกวาด การปูอาสนะ ทำเรียบร้อยหรือยัง ผู้สวดจะถามตลอด คนตอบก็สาธุ.. สาธุ.. นอนอยู่ที่กุฏิมันก็สาธุ ได้ทำกับเขาหรือเปล่า นี่ป้องกันการมุสา

เราทำคุณงามความดีกัน เพื่อข้อวัตรปฏิบัติ ธรรมและวินัยนี้จะเป็นเครื่องอยู่ของเรา ถ้าเรายังประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นเครื่องอยู่ จิตใจมีเครื่องอยู่ เวลาภาวนา พุทโธ พุทโธ เป็นที่เกาะของจิต เวลาจิตคนเราเป็นพระเป็นสงฆ์ เรามีธรรมวินัย กิจของสงฆ์ กวาดลานเจดีย์ ทำความสะอาด บิณฑบาตเป็นวัตร เราอยู่กับสิ่งนี้ จิตใจเราก็อยู่กับสิ่งนี่

ปัจจุบันนี้เราไม่ใช่คฤหัสถ์ เราได้เป็นพระ เวลาผู้ที่จะสึก “จงจำข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าไม่ใช่ภิกษุ ข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์แล้ว” แต่เวลาจะเป็นพระ เราไปบวชกับอุปัชฌาย์อาจารย์ อุปัชฌาย์ต้องยกเข้าหมู่ ต้องสวดญัตติยกเข้าหมู่ หมู่คณะ พระอันดับจะมีการคัดค้านไหม ถ้าคัดค้านเอาเข้าหมู่มาไม่ได้ เวลายกเข้าหมู่ยากเย็นแสนเข็น เวลาจะสึก “จงจำคำข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์แล้ว ข้าพเจ้าไม่ใช่ภิกษุแล้ว”

แล้วนี่พอเป็นภิกษุ ข้อวัตรปฏิบัติ สมณะสารูป การกระทำของสงฆ์ สงฆ์ทำด้วยกัน ข้อวัตรปฏิบัติเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเรา เราบวชมาแล้วในธรรมวินัยนี้ เราบวชมาเพราะว่าเราเห็นภัยในวัฏสงสาร คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันจะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เ

ราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราได้พบพระพุทธศาสนา เราได้บวชได้เรียน เพื่อจะให้ได้พ้นจากวัฏสงสาร เพราะเราเห็นภัยของมัน และถ้าไม่เห็นภัยของมันแล้วมันก็ยังชื่นใจ พอใจมีชีวิต ยังอยากร่ำอยากรวย อยากมีศักยภาพ อยากมีชื่อเสียง มันมีชื่อเสียงที่สุดแล้วมันก็ตาย

คนเรามีการพลัดพรากเป็นที่สุด จิตนี้ต้องออกจากร่างเป็นที่สุด อายุขัยของเราสิ้นสุดไปข้างหน้าแน่นอน ทุกคนต้องเกิดต้องตาย เกิดแล้วต้องตายทั้งหมด เวลาตายไปแล้ว มันก็มีบุญกุศลเป็นที่พึ่งพาอาศัย ปัจจุบันนี้เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราอุตส่าห์ออกจากคฤหัสถ์มาบวชเป็นบรรพชิต เราบวชเป็นบรรพชิตแล้ว เราจะเห็นภัยในวัฏสงสาร

เช่น วันนี้เป็นวันสิ้นปีของเขา เขาได้กำหนดว่าวันนี้วันขึ้นปีใหม่ วันสิ้นปีใหม่ เป็นเดือนแรมกี่ค่ำ มันกำหนดได้

กิเลสเราจะให้สิ้นได้ไหม เราจะกำหนดวันตายของกิเลสเราได้ไหม เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้กิเลสมันสำรอกออก คายออกเป็นชั้นเป็นตอนไปได้ไหม ถ้าเรากำหนดของเราได้ เรากำหนดด้วยอะไร มันจะกำหนดด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา มันกำหนดด้วยความตั้งใจ ความจงใจ ความเห็นภัยในวัฏสงสาร

พอเห็นภัยในวัฏสงสาร คนเราดูสิเห็นไหม นักโทษประหารอีก ๕ วันต้องตาย สั่งประหารชีวิต ๕ วันนั้น คนนั้นอยู่ไม่เป็นสุขเลย มันคิดถึงความตายนะ มันกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะ นี่เหมือนกัน เราจะกำหนดว่าวันสิ้นกิเลส กิเลสต้องตาย แล้วเราจะอยู่อย่างไร ถ้าเรากิเลสต้องตาย เราจะเอาอะไรไปสู้กับมัน

ถ้ากิเลสต้องตายเราก็ต้องตั้งสติ เราก็ต้องสู้กับมัน นี่กิเลสต้องตาย แต่ไม่ทำนี้กิเลสมันจะตายได้อย่างไร คำประหารชีวิตนี้เขาจับยิงเป้านะ มันตายจริงๆ นะ เขาจับมัดกับเสาแล้วยิงเลย แล้วก็ต้องตายเลย พอตายมันเห็นข้อเท็จจริงมันก็สลด จิตใจมันก็สลดมันไม่มีทางออก นี่เวลาความตาย

ฉะนั้นในมุมกลับ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลาอดอาหารไป เวลาเราวิกฤติไปนี่ เอ็งต้องตายนะ พอเอ็งต้องตายนะปั๊บนี่ เวลาคนโดนโทษประหารเขายิงเป้าตายแล้วตายจริงๆ แต่เวลากิเลสมันหลอกเราว่า “จะตายแล้วนะ จะสู้ไม่ไหวแล้วนะ นั่งไปขามันจะหักนะ โอ๊ย ! เดี๋ยวมันจะเจ็บไข้ได้ป่วยนะ ตายแน่ๆ เลย แล้วเจ็บไข้ได้ป่วยไม่มีใครดูแลรักษานะ” คนเวลาเขาโดนโทษประหาร เวลาเขาตายเขาสลดสังเวชของเขา

แต่นี้เวลากิเลสเอาความตายเหมือนกันมาหลอกเราว่า เราจะตาย เราก็กลัวตาย ลุกเลยนะ อดอาหารจะตายแล้วนะ เดี๋ยวกระเพาะทะลุแน่ๆ เลย มันจะตายนะ โอ้ย.. รีบๆ ไปแล้ว ยอมแพ้.. ยอมแพ้..

นี่แล้วกิเลสมันจะหัวเราะเยาะไหม เรากำหนดวันตายของกิเลส เราจะฆ่ากิเลสให้กิเลสมันตายต่อหน้าเรา กิเลสนะมันเอาความตายมาหลอกเรา มาต่อสู้กับเรา เราจะสู้กับกิเลส หรือเราจะยอมแพ้กิเลส หรือจะให้กิเลสมันกระทืบเอา

ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้มาบวชมาเรียน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นไหม สละเลยนะ สละออกเลย เห็นคนแก่ คนเกิด คนเจ็บ คนตายในสวน แล้วสามเณรราหุลก็มาเกิดพอดี มันละล้าละลังๆ เพราะธรรมชาติของมนุษย์นะ สัตว์ทุกตัวรักลูกทั้งนั้นนะ สัตว์ทุกตัวมันรักของมัน โดยสัตว์ของมันๆ หวงลูกมันเต็มที่เลย

แล้วนี่ก็เหมือนกัน เจ้าชายสิทธัตถะเป็นผู้ที่มีศักยภาพขนาดนั้น แล้วลูกพึ่งเกิดไม่ได้เห็นหน้าเลยนะ มันทรมานขนาดไหน ลูกเกิดมาจะเข้าไปดูหน้าก็ไม่ได้ ต้องออก ต้องไป เพราะไปแล้วกลัวว่าจิตใจมันจะทนไม่ไหว เสียสละออกไป ไม่เห็นหน้าลูกเลย ไปนี้เพื่อจะไปต่อสู้กับกิเลส สิ่งที่มันสะเทือนหัวใจ ทำให้เราไม่เข้มเข็ง นี่ขนาดเจ้าชายสิทธัตถะออกประพฤติปฏิบัติ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า อีก ๖ ปีนี่ไปทรมาน ไปต่อสู้กับกิเลส สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน.. เกิดจากความเข้มเข็งของใจ

เหมือนเราในปัจจุบัน เราก็มีกิเลสเต็มหัวกันทั้งนั้นนะ แต่เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เพราะเรามีอำนาจวาสนาบารมี เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราเห็น เราเกิดมาเรามีโอกาสนะ ดูสิ ญาติโยมเขาส่งเสริม เขาต้องการมีผู้ที่ชี้ทางเขา เขาส่งเสริม เขาให้การสนับสนุนตลอดเวลา

เราต่างหากที่เราจะทรงตัวได้ไหม เราจะมีจุดยืนของเราได้ไหม เราจะชำระกิเลสของเราได้ไหม เราอย่าให้กิเลสมันเอาความเป็นความตาย เอาสิ่งที่เราเกรงกลัวมาอ้างอิง พออ้างอิงเราก็ล้มลุกคลุกคลานไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน

ถ้าเราเผชิญหน้ากับมันอย่างนี้ ความประพฤติปฏิบัติเราจะเข้มแข็งขึ้นมา ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ แต่นี่เราไปห่วง เอาโลกเป็นใหญ่นะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็กลัวจะเป็นอย่างนั้น ก็กลัวจะเป็นอย่างนี้ กลัวจะกระทบกระเทือนเขาไปหมดนะ

โลกนะเขาไม่เข้าใจเราหรอก เราเดินจงกรม เขาจะบอกเลย พระนี่บวชมาทำไม ไม่เห็นทำการทำงานเลย ชาวบ้านชาวนาเขายังทำไร่ไถนา เขายังได้ข้าวได้ปลาอาหารมาอยู่มากิน พระไม่ทำอะไรเดินไปก็เดินมา เดินไปก็เดินมาเพื่ออะไรล่ะ เดินไปเดินมาเพื่อรักษาน้ำใจ รักษาเอาหัวใจของตัว

งานอันละเอียด ดูสิ งานอย่างหยาบๆ เรา กรรมกรแบกหามทำได้ทั้งนั้นนะ งานบริหารจัดการ งานดูแลรับผิดชอบนะ คนนั่งบนโต๊ะ เขียนหนังสือสะดวกสบายนะ ผมหงอกหมดเลยนะ ความรับผิดชอบของคน เว้นไว้แต่โจร โจรมันไปนั่งโต๊ะ มันจะโกงมันก็ตกแต่งบัญชีเอาใส่กระเป๋ามันหมดหละ

แต่ถ้าคนเพื่อจะเป็นประโยชน์กับสาธารณะ เพื่อประโยชน์กับบริษัท เพื่อประโยชน์กับโลก เพื่อประโยชน์ต่างๆ นะ มันต้องรับรู้ มันต้องบริหารจัดการของมัน

ปัญญานี่ใครจะเอาไปใช้ ถ้ากิเลสเอาไปใช้ มันก็เอามาใช้เพื่อทำลายเรา แต่ถ้าปัญญานี่ ถ้าธรรมะเอาไปใช้ ธรรมะเห็นไหม กิเลสฆ่ากิเลสไม่ได้ ต้องธรรมะฆ่ากิเลส แล้วธรรมะมันจะเกิดบนอะไรล่ะ ? ธรรมะมันเกิดบนสัจธรรม สัจธรรมมันเกิดมาจากบนไหนล่ะ ? มันเกิดมาจากความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ

ถ้าใจเข้าถึงสัมมาสมาธิ ใจมีหลักมีเกณฑ์ของมัน สิ่งที่ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันไม่มีเราบวกไง โดยธรรมชาติของเรา ทุกคนมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ก็คิดด้วยกิเลสของตัว มุมมองของตัว อันนั้นดีกว่าอันนี้ อันนี้ดีกว่าอันนั้น อันโน่นดีกว่าอันโน้น อันโน้นดีกว่าอันนี้ แล้วอะไรดีกว่าอะไรล่ะ

จิตสงบต่างหากมันดีที่สุด จิตที่สงบ จิตที่เราทำความสงบของเราได้นะ อันนั้นนะดีที่สุด แต่ถ้าเราทำจิตสงบเข้ามาได้ มันทำได้ด้วยวิธีการใด วิธีการนั้นมันก็ดีที่สุด เพราะวิธีการนั้นมันทำให้จิตเราสงบได้

แต่วิธีการของคนอื่น เขาว่าเขาจะดีขนาดไหน อันนั้นดีกว่าอันนี้ อันนี้ดีกว่าอันนั้น แต่มันดีของเขา ไม่ใช่ดีของเรา มันทำจิตใจของเขาให้สงบได้มันก็เรื่องของเขา มันเกี่ยวเรื่องอะไรของเราล่ะ มันมีประโยชน์อะไรกับเราล่ะ เขาสงบของเขา แล้วเราไม่สงบนะ เขาสงบของเขาแล้วเราเดือดร้อนนะ แล้วใครจะดีกว่าใคร มันจะใครดีกว่าใคร มันไม่มีใครดีกว่าใครหรอก แต่มันเป็นจริงหรือเปล่า

ถ้ามันเป็นจริงหรือเปล่า มันเอาจิตสงบได้ เพราะจิตสงบเห็นไหม ดูสิ วิธีการใดก็แล้วแต่ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สงบก็คือสงบ ปัญญาที่เกิดจากความสงบเป็นปัญญาที่เกิดจากธรรม ถ้ามันมีธรรมขึ้นมา มีสัจธรรมขึ้นมา ปัญญาอันนั้นมันจะเป็นประโยชน์มาก ปัญญาอันนั้นแล้วมันเกิดจากสัจธรรมใช่ไหม ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ นะ ว่างๆ นั้นอวกาศไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย มันธรรมชาติของมัน

อากาศมันเปลี่ยนแปลงของมันตลอดเวลา มันเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป มันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง โลกนี้เป็นอจินไตยมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ มันเป็นอจินไตยด้วย เป็นอนิจจังด้วย

อจินไตยคือมันอยู่อย่างนี้ มันจะมีของมันอย่างนี้ แต่มันจะแปรสภาพอย่างนี้ มันเป็นอจินไตยที่มันต้องมีอยู่ แล้วมันก็เป็นอนิจจังที่มันต้องแปรปรวน มันจะแปรปรวน แปรปรวนแบบเพราะแปรปรวนไง นี่ก็เหมือนกัน สัจธรรมมันก็แปรปรวน แล้วปัญญาของเรานะ ถ้าปัญญามันเกิดจากเรา ปัญญาเพื่อจะหมุนไป เพื่อไม่มีสิ่งใดเลยเหรอ

แต่ถ้าปัญญามันเกิดจากสัจธรรม เกิดจากสัจธรรมมันคืออะไร ถ้ามันไม่มีความสงบของใจที่เป็นพื้นฐาน สิ่งที่เป็นพื้นฐาน กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ภพก็เป็นสวะหนึ่ง เป็นอาสวะหนึ่ง ตัวภพนี่ ตัวใจนี่

ถ้าตัวใจเป็นอาสวะอันหนึ่ง เป็นสิ่งที่มันสกปรกอันหนึ่ง แล้วปัญญาเกิดจากมัน มันจะสะอาดไปได้ไหม แต่ถ้ามันเกิดจากความสงบของใจนะ มันเกิดจากความสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาได้บ้าง จิตของเรา สมาธิของเรา ใจของเราจะมีความสงบร่มเย็นได้มากน้อยแค่ไหน เวลามันเกิดมันมีความมั่นคงได้มากน้อยแค่ไหน

ดูของสิ อาหาร เราไปวางไว้บนที่สกปรก ยิ่งไปวางบนมูตร บนคูถ บนขี้นะ เราจะเอากินอีกได้ไหม เราไม่กล้ากินเพราะกลิ่นเหม็น อาหารอยู่ในภาชนะที่สะอาด อาหารที่มันอยู่ในถ้วยจานที่ทำดีแล้ว อาหารนั้นมันจะมีประโยชน์ น่ากิน น่าเอามาใช้สอย

ปัญญาที่เกิดบนภพ ภวาสวะภพ อาสวะ ภวาสวะ ตัวภพ ถ้ามันสกปรก ปัญญาที่เกิดบนความสกปรกอันนั้นมันน่าใช้สอยไหม แต่ถ้าปัญญาที่มันเกิดบนภพที่สะอาดคือจิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามา สิ่งนั้นอาหารที่ไปอยู่ในภาชนะที่สะอาด ในภาชนะที่ดี อาหารนั้นควรกินไหม มันน่ากิน น่าใช้สอยไหม

นี่เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบก่อน ก่อนจะทำอะไรต้องทำให้ภาชนะสะอาดก่อน ภาชนะสะอาดแล้ว ถ้าทำจิตสงบ โอ้โฮ ! สงบดีมากเลย โอ้โฮ ภาชนะเราสะอาดมากเลย อาหารสักอันไม่มีเลย ภาชนะสะอาดนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ภาชนะสะอาดแล้วไม่มีอาหารสักเม็ดหนึ่งเลย ไปกินอะไร ? ไปกินลมนะสิ สะอาดแล้วจะไปสกปรกอีกไหมล่ะ ? มันก็สกปรกอีกล่ะ

มันขัดแย้งกันไปหมดเลยนะ ถ้ามันขัดแย้งมาตั้งแต่ต้น แต่ถ้ามันไม่ขัดแย้งกันมาตั้งแต่ต้น มันสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน ภาชนะที่ไม่สกปรก อาหารมันมา มันมีปัญญาขึ้นมา มันก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ มันใช้ประโยชน์มันก็ใช้ประโยชน์ทางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมันกลิ่นเหม็น ความสกปรกความเน่าเหม็นมันเป็นของกลิ่นเหม็น

ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ มันสะอาดดีแล้ว ถึงมันจะมีมากมีน้อย ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา การเกิดปัญญาพอจิตของเราสงบ ใครเคยประพฤติปฏิบัติ พอจิตมันสงบขึ้นมา ปัญญาขึ้นมาที่มันชำแรก ชำแรกเลยนะ มันชำแรกไปในความคิดเรา ความคิดที่มันสกปรก มันเกิดจากภวาสวะ ภพที่สกปรก ความคิดก็เลยเป็นความคิดปกติ ความคิดที่เราเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถ้าพอจิตเราสงบขึ้นมา จิตที่เราเป็นภาชนะที่สะอาดขึ้นมา เวลามันสะอาดขึ้นมา มันชำแรกเข้ามาในความคิด ทั้งๆ ที่ปัญญายังไม่เกิด ปัญญาคือภาวนามยปัญญายังไม่เกิด แต่ปัญญาอย่างนี้มันเกิดจากภาชนะที่สะอาด ปัญญาที่เกิดจากจิตที่มีความสงบขึ้นมา มันชำแรกออกมา เราสะอึกเลยนะ โอ้โฮ ! คิดอย่างนี้เชียวหรอ โอ้โฮ มีปัญญาอย่างนี้เหรอ

นี้ไง อันนี้มันส้มหล่นนะ มันเป็นสิ่งที่มันชำแรกขึ้นมา เพราะความคิด ความสะอาดบริสุทธิ์ที่นะมันชำแรกขึ้นมาในหัวใจของเรา มันชำแรกคือมันแยกแยะไง สะอึกเลยนะ มันผงะเลยนะ โอ้.. ความคิด มันมีความสุข มันมีความเห็นของมัน

แล้วเราพยายามฝึกฝน สิ่งนี้คำว่าฝึกฝน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมา มันบอกแล้ว มันเหมือนกับนอต เหมือนกับสิ่งต่างๆ ที่มันขันไว้แล้วสนิมมันเต็มที่เลยนะ มันขันยังไงก็ไม่ออก ถ้าเราได้เคาะ ได้ใช้น้ำมันหยอดไว้ แล้วเราเริ่มขยับ.. เราเริ่มขยับออกมันมีโอกาสแล้วเราจะคายนอตตัวนี้ได้

จิตที่มันชำแรกออกมา มันเห็นถึงการขยับของจิต เพราะมันสะเทือนใจเราเอง นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้ มันสะเทือนหัวใจเราเอง มันบอกเราเอง มันสะอึกในหัวใจเราเองนะ มันมีความรับรู้ของเราขึ้นมาเอง นี่สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านพยายามจะทิ่มเข้ามาในหัวใจของเรา ให้เราได้สามัญสำนึก ให้เราได้ความคิด ให้เรามีจิตสำนึกขึ้นมา พอมีจิตสำนึกขึ้นมา จิตตภาวนา การภาวนา การชำระกิเลสมันชำระจากจิต จิตนี้ปฏิสนธิจิต ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นการเกิดและการตาย จิตเวลาปฏิสนธิในไข่ ในน้ำคร่ำ โอปปาติกะ เทวดา อินทร์ พรหม เวลาปฏิสนธิ จิตปฏิสนธิ มันเป็นตัวที่พาเกิดพาตาย มันเป็นตัวหมุนไปในวัฏฏะ

แล้วเวลาจิต ภาวนามยปัญญามันเกิด มันจะเข้าไปชำระที่ไหน นี่จิตตภาวนา การภาวนาเกิดจากจิตของเรา การภาวนาเกิดจาการกระทำของเรา แต่การกระทำอันนี้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีคนชี้นำ เราก็เข้าข้างตัวเอง

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ อย่างน้อยทำให้เสียเวลา อย่างมากมันติดของมัน ถึงที่สุดหลุดได้เลย”

เพราะอะไร เพราะความคิดย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำ จนหลอกตัวเองจนตัวเองก็เชื่อนะ โอ้ ! ว่าง โอ๊ย ! นิพพาน พาลมันเป็นพาลชนนะ มันไม่ใช่บัณฑิตนะ ถ้าเป็นบัณฑิตนะ มันเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่มันจะเข้ากับสัจธรรม

ดูสิ จิตใจของคนมันสูงส่งมากขนาดไหน มาศึกษาพระไตรปิฎก ศึกษาธรรมะมันจะซาบซึ้งมาก จิตใจถ้ามันหยาบนะ มันไปศึกษาพระไตรปิฎกมันไม่เชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไง แม้แต่ประวัติครูบาอาจารย์ของเรา เวลาไปศึกษาเขา ท่านจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร คนๆ หนึ่งจะปฏิบัติได้อย่างนี้เชียวหรือ ! คนๆ หนึ่งจะมีความจริงจัง จะมีความเข้มแข็งขนาดนี้เชียวหรือ ! มันไม่เชื่อได้ ถ้าพาลชนนะมันไม่เชื่อ

แต่ถ้าเป็นสุภาพบุรุษชน ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชนมันเป็นคนหนา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเป็นกัลยาณปุถุชน ก็มันควบคุมใจได้มากแล้ว การควบคุมใจได้ ทำไมถึงควบคุมได้ เพราะรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ที่เราวิ่งเต้นเก่งกระโดดไป ก็เพราะรูป รส กลิ่น เสียง นี่มันกระตุ้น รูป รส กลิ่น เสียง มันพยายามปลุกเร้าเรา

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เช่น เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา แล้วมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา มันจะเห็นโทษของมัน รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันเห็นโทษเห็นภัยของมัน ให้มันตัด เพราะ รูป รส กลิ่น เสียง มันทำให้ภาชนะนี้สกปรก รูป รส กลิ่น เสียง มันกระตุ้นให้เราคิดออกไป มันเหมือนของเก็บไว้แล้วมันเน่า มันเสีย มันบูด

นี่ก็เหมือนกัน เวลารูป รส กลิ่น เสียง มันกระตุ้นหัวใจ พอมันแสดงตัวมันก็เน่ามันก็บูดของมัน ภาชนะก็สกปรกไปตามธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเราเห็นโทษของมัน เราชำระล้างสะอาด เราทำสะอาดด้วยสติ ด้วยคำบริกรรม ด้วยสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ด้วยเห็นโทษของมัน เห็นโทษ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันกลับมาทำลายภาชนะ ทำลายจิตดวงนี้ มันทำลายชำระล้างให้จิต นี้มันสะอาดบริสุทธิ์

ปุถุชนและกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนเป็นคนเบาบาง ปุถุชนเป็นคนหนา กัลยาณปุถุชนเบาบางเพราะอะไร เพราะเราทำความสะอาดของใจได้ เราควบคุมใจของเราได้ เรายับยั้งใจของเราได้ นี่ไงภาชนะที่สะอาด นี่กัลยาณปุถุชน ถ้ากัลยาณปุถุชนควบคุมจิตได้ ทำจิตให้สงบได้ง่าย ควบคุมจิตได้ง่าย แล้วออกรู้ ออกรู้ นี่ไง อาหารที่มันจะเกิดจากภาชนะนั้นนะ โสดาปัตติมรรค มรรคญาณ

ถ้าโสดาปัตติมรรคมันมีพื้นฐานอะไรถึงเป็นโสดาปัตติมรรค เราเป็นปุถุชนคนหนา ด้วยความเข้าใจผิดนะ “ว่างๆ ว่างๆ ! จิตใจมันดีอย่างนั้นนะ ปล่อยวาง ธรรมะสอนให้ปล่อยวาง สรรพสิ่งมันสักแต่ว่า อะไรก็เป็นสักแต่ว่าหมดเลย สติก็สักแต่ว่า สมาธิก็สักแต่ว่า มันเป็นอนัตตาในตัวมันเอง สรรพสิ่งก็เป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจัง มันไม่มีอะไรเลย มันว่างไปหมดเลยนะ”

แล้วมันตั้งอยู่บนอะไร มันตั้งอยู่บนอะไร อะไรก็เป็นสักแต่ว่า สักแต่ว่า ทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า จิตมันว่าง สักแต่ว่าหมดเลย มันก็เป็นของมัน ใจก็เป็นของใจเรา หมดกิเลสนะ สิ่งที่มันมิจฉา ถ้ามิจฉาขึ้นมามันก็ทำให้เราเสียโอกาส เสียอะไรต่างๆ ไปหมดเลย

แต่ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มันเป็นสัมมาทิฐิ ความเห็นของเรา เรารู้ของเรานะ จิตสงบเราก็รู้ว่าสงบ สงบแล้วเวลาคายออกมา สงบแล้วว่างขนาดไหนนะ มันชำระอะไรไปบ้าง กิเลสมันได้ยุบยอบไปสักตัวหนึ่งไหม สิ่งใดที่เป็นโทษกับเรา ในหัวใจ มันได้ทำลายอะไรของมันไปบ้าง มันไม่ได้ทำลายอะไรของมันไปเลย เพียงแต่กิเลสนี้มันฉลาดกว่าเรามากมายนัก

กิเลสเห็นไหม ภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ นอนเนื่องมากับใจ มันอยู่กับปฏิสนธิจิต มันไปเกิดที่ไหนมันก็มีกิเลสไปทั้งนั้นนะ กิเลสทุกๆ ภพทุกชาติไป เว้นไว้แต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นอกุปปธรรม กิเลสมันจะเจือจางไปมากน้อยขนาดไหน แล้วแต่วุฒิภาวะของจิตที่มันพัฒนาขึ้นไป

พอไปเกิดในภพชาติไหน มันก็แตกต่าง เพราะมันเป็นอริยบุคคลกับบุคคลธรรมดามันแตกต่างกันอยู่แล้ว นี่ความแตกต่างของจิตมันมี มันอยู่ที่คุณภาพของจิต มันเป็นพันธุกรรมของมันที่มันสร้างขึ้นมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วของเขามา

แล้วในปัจจุบันของเรา ปกติของเรา เรารู้ของเรา เราพัฒนาของเรา แล้วพัฒนาได้มากน้อยแค่ไหนล่ะ มันก็เป็นความเห็น พอเกิดขึ้นมา เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนไว้แล้ว

วัฒนธรรมประเพณีนะ อย่าไปดูถูกคนป่าคนดอย คนป่าคนดอยเขาดีกว่าเราอีก เขารู้ดีกว่าเราอีก เขาศึกษาโดยข้อเท็จจริงไง เขาอยู่กับพระอยู่กับเจ้า บ้านนอกคอกนานะ สังคมของเขาอยู่กับพระ ! สังคมของเขาอุปัฏฐากดูแลพระนะ แล้วพระเขามา เขารู้ประเพณีวัฒนธรรมนะ เขารู้ของเขา

เราก็นึกว่าเรานี่เป็นปัญญาชนนะ เรานี่มาจากเมืองนะ บ้านนอกคอกนาเขาไม่รู้อะไรนะ ไอ้บ้านนอกคอกนา ประเพณีวัฒนธรรมในหัวใจเขาเข้มแข็งกว่าเราอีก เขารู้เลยว่า พระควรทำอะไร หรือพระไม่ควรทำอะไร ไอ้เรามันรู้แต่เปลือก เราคิดว่าเรารู้ เราเป็นนักวิชาการใช่ไหม หนังสือเป็นตู้ๆ เราค้นคว้าได้หมดนะ เราค้นคว้า เราจะเอาอะไรไปค้นคว้า

แต่ของเขามันเข้าอยู่ในสายเลือด มันอยู่ในประเพณีวัฒนธรรมของเขา ดูสิ เราธุดงค์ไป เวลาเขาเจอพระ เขาไม่กล้าเดินสวนเลย เขานั่งลงแล้วยกมือไหว้ด้วย เขาเคารพบูชาขนาดนั้นนะ เขาเคารพบูชาด้วยประเพณีวัฒนธรรมในหัวใจของเขา

นี่คือประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าเราจะศึกษาของเรา แต่ถ้ามันเป็นความจริงของมัน ถ้าใจเราเข้าไปสัมผัสล่ะ จิตใจเข้าไปสัมผัสนะ หัวใจมันเป็นจริงนะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันต้องมีจิตสงบเข้ามา ไม่ใช่ว่าทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า มันชิงสุกก่อนห่าม ซื้อก่อนขาย ไม่มีหลักมีเกณฑ์ แล้วว่าสิ่งนี้เป็นสัจธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมะ สิ่งนี้เป็นธรรมะ ธรรมะของกิเลสไง กิเลสก็ว่ามันเป็นธรรมะ แล้วธรรมะตามเป็นจริงมันรู้ได้ไง ถ้าธรรมะเป็นจริง ทำไมพูดผิดพูดถูกล่ะ

ถ้าธรรมะเป็นจริงนะไม่มีผิด ! หลวงปู่มั่นเทศน์ไม่เคยผิดเลย แล้วหลวงปู่มั่นเทศน์ไม่เกรงกลัวกิเลสเลย หลวงปู่มั่นเวลาเทศน์ “ต้องเป็นอย่างนั้น ! ต้องเป็นอย่างนั้น !เลย แล้วต้องเป็นอย่างนั้น” ถ้าต้องเป็นอย่างนั้น เวลาคนอื่นไปทำความคลาดเคลื่อน มันจะขัดแย้งกัน

ถ้าธรรมะมันไม่มีความขัดแย้งกัน เพราะมันเป็นความจริงอันเดียวกัน ถ้าความจริงอันเดียวกัน ความจริงนี้มันเกิดขึ้นบนอะไร ความจริงมันต้องมีพื้นฐานข้อเท็จจริงที่รองรับ ไม่ใช่ความจริงที่มันขาดตอนไป ความจริงนี้มันอยู่บนอวกาศ ความจริงที่ไม่มีข้อมูลรองรับ ความจริงของใคร !

อ้าว! ถ้าฉันเป็นครูบาอาจารย์ เป็นความจริงของฉัน ฉันพูดอะไรก็ได้ทุกคนห้ามเถียง ทุกคนต้องยอมรับความจริงอันนี้ ความจริงที่หลักลอยไง

แต่ถ้าความจริงเป็นความจริงๆ ความจริงๆ ที่มีพื้นมีฐาน ความจริงมีข้อเท็จจริงรองรับ ข้อเท็จจริงนั้นนะ ครูบาอาจารย์ท่านจะพูดความจริงจากข้อเท็จจริงนั้น ! แล้วก็สอนลูกศิษย์ลูกหาให้ทำตามข้อเท็จจริงนั้น เพราะข้อเท็จจริงนั้นมันเป็นพื้นฐานเข้าสู่ความจริง !

ถ้าข้อเท็จจริงนั้นเข้าสู่ความจริง ข้อเท็จจริงนั้นมันเกิดขึ้นจากสิ่งใด ถ้าข้อเท็จจริงนั้นขึ้นมา ข้อเท็จจริงนั้นมันตรวจสอบได้ มันสัมผัสได้ สติมันเกิดขึ้นมาอย่างไร ? เราตั้งสติอย่างไร ? สติทำให้หัวใจเราสงบขึ้นมาได้อย่างไร ? แล้วหัวใจสงบขึ้นมาภาชนะที่สะอาดขึ้นแล้วนี่ มันจะเกิดมีอาหารมีคุณประโยชน์กับเรา มีคุณปัญญาที่เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ถ้าปัญญาเกิดขึ้นมา มันจะออกรู้ออกเห็นของมัน ออกรู้ออกเห็นในอะไร ในอริยสัจ ๔ อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เป็นพื้นฐานของจิต มันจะออกรู้ในสติปัฎฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ากาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอย่างไร ถ้ามันเห็นจริง เห็นจริงมันต้องพูดได้ตามความเป็นจริงสิ ถ้าเห็นจริงนะ

“เห็นกายเห็นอย่างไร”

“เห็นเกิดดับครับ เห็นเกิดดับ” ..เราเห็นแล้วเกิดดับ พระอาทิตย์ก็เกิดดับ ทุกอย่างเกิดดับหมด

การเกิดดับ เกิดดับอย่างไร ? ทำไมมันถึงเกิดดับ ? มันเกิดบนอะไร ? มันตั้งอยู่บนอะไร ? แล้วมันดับไปที่ไหน ? ทำไมมันถึงเกิด แล้วทำไมถึงดับล่ะ ? มันเกิดบนอะไร ชีวิตนี้เกิดบนอะไร ?

วิทยาศาสตร์บอกว่าชีวิตนี้เกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากท้องแม่ไง แล้วแม่เกิดมาจากใคร แม่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่อีกไง มันก็สืบสาวขึ้นไปเป็นสายบุญสายกรรม นี้มันก็เป็นวัฏฏะไง นี้ก็เป็นธรรมชาติไง ที่จิตนี้มันหมุนเวียนไป การเกิดการตายอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ถ้าเป็นธรรมะขึ้นมา เหมือนกับเรามารถมารา แล้วเราก็ลงมาจากรถจากรา

จิตนี้ก็เหมือนกันถ้าไม่มีมรรคญาณ ไม่มีสัจธรรมนี้เข้ามาแก้ไขมัน มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปในธรรมชาติอย่างนี้ ผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายนี้เป็นผลของวัฏฏะ

วิวัฏฏะเกิดจากการกระทำ วิวัฏฏะเกิดจากจิต วิวัฏฏะเกิดจากมรรคญาณ มรรคญาณเกิดขึ้นมาเป็นสมบัติส่วนตน สมบัติของใจดวงนั้น ใจดวงใดก็เอาใจดวงนั้นรอดพ้นจากกิเลสไปจากมรรคญาณที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะปรินิพพานถึงบอกว่า “เราเอาแต่มรรคผลของเราไปนะอานนท์ เราไม่ได้เอาผลประโยชน์ของใครไป โลกนี้ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มรรคผลนิพพานจะไม่สิ้นจากโลกนี้เลย”

อยู่ที่คนประพฤติปฏิบัติจริง แล้วรู้จริง มรรคผลมันจะเกิดตรงนั้น เกิดบนหัวใจของคนที่ประพฤติปฏิบัติจริง รู้จริง ทำความเพียรจริง ผลที่เกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติจริง จากข้อเท็จจริงที่ใจมันพัฒนาขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากข้อเท็จจริงอย่างนั้น มรรคผลมันเกิดมาจากที่นั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป ก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านนิพพานของท่านไป มันก็เป็นสมบัติของท่าน

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพยายามฝึกฝนพวกเราไว้ “ผู้ที่มีวุฒิภาวะพรรษามากไม่ต้องขึ้นมาก็ได้ ให้พระบวชใหม่ๆ พวกพรรษาใหม่ๆ ขึ้นมาทำข้อวัตร มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป เวลามันไปไหนจะได้มีข้อวัตร มีหลักเกณฑ์ในหัวใจ มีที่พึ่งพาอาศัย มีที่ยึดมั่นของมันไป”

ถ้าไม่มีข้อวัตรปฏิบัติเลย ไม่มีหลักเกณฑ์ในหัวใจเลย ไปประพฤติที่ไหนมันก็เลื่อนลอย มันก็ลอยลมไป หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพยายามจะวางรากฐานเพื่อให้พวกเราเข้มแข็งขึ้นมา เพราะมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันไม่ลอยลม มันไม่ลอยลมหลอก

ไม่ใช่ว่า สักแต่ว่า.. โน่นก็สักแต่ว่า เป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติ

แล้วธรรมชาติจิตมันก็หมุนอยู่แล้วไง มันก็เกิดแล้ว เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ก็เกิดขึ้นมาก็เกิดจากท้อง เกิดจากท้องก็เป็นเราเดี๋ยวก็ดับแล้ว ดับแล้วก็อยู่ในโลงนะ มันก็เกิดดับไง แล้วมันดับไปไหนนะ มันดับในวัฏฏะนะ

ถ้ากิเลสมันเห็นของมัน ถ้าธรรมะมันเห็นนะ มันเอามาแยกแยะ การเกิดดับมันเกิดดับถี่ยิบมาก ยิ่งจิตใจ เขาบอกจิตมีกี่ดวงกี่ดวงนะ สันตติเราก็แยกเลยนะ ปัจจยาการนะ อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญานัง มันก็ โอ้โฮ เป็นสายพานการผลิตเลยนะ ยืดไปยาวเหยียดเลยนะ แล้วมันนะก็จะตามไปล่ามานะ อีกร้อยชาติก็ไม่เจอนะ

แต่ถ้าเป็นความจริงมันจะเห็นอย่างนั้นไหม สิ่งที่เป็นปัจจยาการ การเกิดการดับ สันตติ จิตกี่ดวงกี่ดวงนะ ว่ากันไปนะ ถ้าจิตเป็นสมาธิมันกี่ดวง ? จิตเป็นหนึ่งมันกี่ดวง ? แล้วจิตมันตั้งมั่นมันตั้งมั่นอย่างไรล่ะ ? แล้วมันตั้งมั่นทำออกทำงานอย่างไร ? จิตมันมีแขนมีขาไหม ? แล้วแขนขามันทำงานอย่างไร

โอ้ ! จิตมันกระทบนะ มันฆ่าอย่างนั้นนะ พอฆ่าปั๊บ เราก็บอกว่ามันต้องระเบิดแล้ว มันต้องใช้ปืนใหญ่นะ การฆ่าโดยมรรคญาณมันเป็นอย่างนั้นไหม

การฆ่าการทำลายที่ประเสริฐ ดูสิ คนเรานะว่ากล่าวกัน พูดจาเสียดสีกัน มันมีแต่สร้างเวรสร้างกรรมกัน มีแต่การผูกจิตกันเจ็บแค้นต่อกัน การฆ่ากัน การทำลายกันทางโลก ไม่มีอะไรเป็นผลดีเลย

แต่การฆ่าที่พระพุทธเจ้าบอก การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือการฆ่ากิเลส แต่การฆ่าอย่างนี้ใครเคยเห็นมัน ใครเคยฆ่ามัน ถ้าไม่เคยเห็นมัน ไม่เคยฆ่ามัน เราก็เคยเห็นแต่การฆ่ากันทางโลก เขาเชือดไก่ เชือดโค เชือดควาย เขาฆ่าอยู่ตลอดเวลา แล้วการฆ่าต้องฆ่าอย่างนั้นนะ

พอฆ่าอย่างนั้นมันก็สร้างภาพเลยนะ พอจะฆ่าก็ต้องตั้งปืนใหญ่แล้ว เล็งพิกัดเลย ปืนใหญ่ยิง ! แล้วกิเลสมันตาย เพราะคนไม่เคยเห็นมันก็คาดหมายไปเรื่อยเปื่อยด้วยทางโลก

แต่ถ้าคนเป็นจริงนะ การฆ่ากิเลสมันฆ่าด้วยอะไร ? ด้วยอะไร ? ธรรมะที่จะฆ่ากิเลส แล้วเอาธรรมะนั้นมาจากไหน ? ธรรมะเราสั่งซื้อมาจากเมืองนอกไหม ? เราสั่งซื้อมาจากดาวอังคารเลย เราขอยานอวกาศ ๒ ลำจะฆ่ากิเลส มันเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นเลย !

มันเกิดขึ้นมาจากเรา ! มันเกิดขึ้นมาจากสติ ดูสิ ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี่ เราบิณฑบาต เราทำสิ่งต่างๆ จิตใจเศร้าหมอง จิตใจผ่องใส จิตใจมีกำลัง จิตใจจะดีขนาดไหน เราก็สร้างของเราขึ้นมา มีความเข้มแข็งของเราขึ้นมา ยืนหยัดของเราขึ้นมา สติมันก็ต้องไม่สั่งซื้อมาที่ไหน เวลามีสติ สมาธิดี ถ้าสติมีทำอะไรไม่ผิดพลาด

เดินไปเดินมานะ ทำข้อวัตรปฏิบัติมันจะสะอาดเรียบร้อยดี ถ้าสติขัดข้องนะ ทำข้อวัตรเหมือนกัน โน่นก็ไม่เรียบร้อย นี่ก็ขาดตกบกพร่อง ทำเสร็จแล้วหมู่คณะก็มาทำให้ใหม่ สิ่งนั้นล้างก็ไม่ดีต่างๆ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นการฝึกสติทั้งนั้นนะ

ถ้าเราฝึกสติจากข้างนอกเรา สิ่งใดเราทำไว้เรียบร้อยอยู่แล้วนะ ส่วนตัวของเรานะในกุฏิเราเราเรียบร้อยหรือยัง ในความจริงภาชนะของเราดีไหม บริขารของเราได้ดูแลดีไหม บริขารเราดูแลดีแล้ว แล้วร่างกายเราได้ดูแลไหม ร่างกายเราได้ดูดีแล้วจิตใจเราได้ดูแลดีไหม จิตใจเราได้ดูแลดีแล้ว มีสติสัมปชัญญะขึ้นมา แล้วจิตใจเราสงบไหม ถ้าจิตใจเราสงบดีแล้ว จิตใจที่เป็นสัมมาสมาธิ แล้วปัญญามันเกิดไหม ถ้าปัญญามันไม่เกิด เราจะทำอย่างไรให้มันเกิด ปัญญามันเกิดมันจะเกิดอย่างไร ปัญญามันจะเกิดมาจากฟ้าเหรอ

ปัญญาเห็นไหม สิ้นสุดของวัตถุที่เราดูแลด้วยข้อวัตรปฏิบัติ สิ้นสุดของมันแล้วกระบวนการของจิต จิตเราจะจับต้องได้ จนมันเป็นสัมมาสมาธิ พอสมาธิมันเกิดขึ้นมาโดยนามธรรม แล้วเราจะเกิดปัญญาได้อย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกฝนมัน สมาธิเกิดปัญญาไม่ได้

แต่ถ้ามันมีสมาธิแล้วเกิดปัญญาขึ้นมาก็เป็นสัญญาทั้งหมด ถ้าจะเกิดปัญญาขึ้นมา ต้องสัมมาสมาธิ แล้วมันเวลาฝึกฝน ต้องฝึกฝน ต้องบังคับให้จิตออกหัดฝึกปัญญา ถ้าปัญญาจะฝึกอย่างไร

ปัญญาที่เกิดขึ้นมา ปัญญาเราฝึกขึ้นมา เราตรึกในธรรมต่างๆ มันก็ฝึกปัญญาโดยพื้นฐาน ดูสิ ดูการศึกษาทางโลก ถ้าทางโลกนะ ถ้าศึกษาโดยชั้นอนุบาล ชั้นเด็กๆ ถ้ามันมีการศึกษาก็เข้มแข็งขึ้นมา พอโตขึ้นมาการศึกษาของเขา เขาจะไปได้ไกล แต่ถ้าศึกษาขึ้นมาจากเด็กน้อย การศึกษาของเขาอ่อนแอ พออ่อนแอขึ้นมา เขารู้ตัวเองว่าอ่อนแอ ไม่ได้ศึกษาทางวิชาการที่เข้มแข็ง มันก็อ่อนแอไปตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมันมีพื้นฐานขึ้นมา เวลามันออกฝึกหัดปัญญา ปัญญามันตรึกได้ มันฝึกได้ มันต้องฝึก ต้องบังคับให้ฝึกด้วย ! เพราะการฝึกปัญญาในขั้นของสมถะ พอปัญญามันจะเกิดขึ้นมา ปัญญามันจะทำให้จิตนี้สงบเข้ามามากขึ้น

เพราะจิตสงบ สงบเพราะอะไร สงบเพราะมีสติสัมปชัญญะ แล้วสิ่งใดที่มันกระทบขึ้นมา ปัญญามันแยกแยะ กระทบอะไรกระทบ รูป รส กลิ่น เสียง นี้มันเป็นอะไร มันเป็นนามธรรมทั้งนั้นแหละ

นามธรรมพอปัญญามันเกิดขึ้นเพราะนามธรรม มันเห็นเลย เสียงอย่างนี้ เสียงเขาชม เข้าใจผิดว่าเขาติ มันก็ทุกข์แล้ว ทั้งๆ เสียงเขาชมแต่เข้าใจว่าเขาติ เขาติก็เข้าใจว่าเขาชม แล้วดีใจเสียใจไปกับเขา นี่ไงปัญญามันแยกแยะอย่างนี้

แยกแยะรูป รส กลิ่น เสียง ที่เราเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูก ความเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูก มันฝึกฝนของปัญญา ปัญญามันฝึกฝนขึ้นมาแล้ว มันละเอียดเข้าไป ปัญญามันก็ซึมซับเข้าไป มันก็ไปถึงจิต ถ้าถึงจิตขึ้นมานี่

นี่ไงถ้าปัญญามันถึงจิตขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาจากภายใน ปัญญาธรรมะก็หนอนแทะกระดาษไง พระพุทธเจ้าถึงนิพพาน นิพพาน ก็พานอยู่นั้นแหละ แต่ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันจะนิพพานหรือไม่นิพพานมันเกิดขึ้นมาจากใจ มันขัดใจ ขัดยอก ขัดแย้งในใจ มันฟู มันแฟบในใจ มันแก้ไขที่นี่ แก้ไขที่นี่

นี่ไงกิเลสมันเกิดที่ใจ แล้วใจมันก็เป็นที่รองรับกิเลสให้มันเหยียบย่ำ พอกิเลสมันเข้าไปแยกแยะออกมา ทำให้จิตใจเป็นอิสรภาพ โอ้ ! ว่าง การทำสมถะมันก็ง่ายขึ้น

การทำสมาธิไม่ใช่ทำแต่ได้สมาธิอย่างเดียว การทำสมาธิแล้วก็หัดฝึกหัดปัญญา ถ้าฝึกปัญญาขึ้นมานี่ ฝึกขึ้นมาบ่อยๆ ครั้งเข้า ถ้าบ่อยครั้งเข้า โอ๊ย ! ว่าง.. ปล่อยวาง..

ว่าง.. ปล่อยวางขนาดไหน มันต้องฝึกไปบ่อยๆ เพราะอะไร เพราะปัญญามันคนละมิติ มิติหนึ่งมิติโลก มิติหนึ่งมิติธรรม เราเกิดมาด้วย เวลาพระอริยบุคคล พระอรหันต์ อะไรเป็นพระอรหันต์ ก็เห็นเป็นมนุษย์เหมือนกัน เห็นยังโวยวายอยู่ลั่นเป็นพระอรหันต์ที่ไหน แล้วมันตรงไหนเป็นพระอรหันต์นะ แล้วใครรู้ใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์

เวลาวุฒิภาวะมันเกิดขึ้นมา ใจมันเกิดขึ้นมา สิ่งนี้มันเทียบกันได้นะ จะหันหรือไม่หันมันอยู่ที่วุฒิภาวะการแสดงออกของการแสดงธรรม สิ่งที่การแสดงธรรม มันแสดงออกมาจากใจ ถ้าใจมันไม่มีข้อเท็จจริง มันจะหันได้อย่างไร มันจะหันซ้ายหันขวาได้ มันต้องมรรคผลอันนั้นจะบังคับให้ใจนั้นหันเข้าสู่มรรคผลนิพพาน

ถ้าหัวใจไม่มีหลักมีเกณฑ์มันจะจับอะไรเข้ามาหัน มันก็หันลงนรกนั้นล่ะ มันจะหันไปไหน ! ถ้ามันจะหันมันต้องมีข้อเท็จจริง ทำไมถึงหัน ! มึงหันอย่างไง ! หันไปซ้ายหรือหันไปขวา หันลงนรกอเวจีหรือหันขึ้นมรรคผลนิพพาน

มันมีของมันนะ มันมีการกระทำของมันขึ้นไป มีการกระทำ ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดอย่างไร ปัญญามันเกิดขึ้นมามันจะแสดงตัวอย่างไร มันทำของมัน มันแก้ไขของมัน ไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ได้ ! ไม่รู้ไม่เห็นมันก็คาดเดากันไป จินตนาการคือการคาดเดานะ ก็เดากันไป

แต่ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญา มันจะจินตนาการได้อย่างไร มันไม่ใช่จินตนาการ มันซึ่งๆ หน้า มันพุ่งใส่หัว ใส่หน้าเลยนะ เวลาเจอกันมันพุ่งใส่หน้า มันทำลายกลางหัวใจ ภพ ภวาสวะ ตัวภพ กิเลสสวะ อวิชชาสวะมันทำลายหมดแล้ว แล้วมันเหลือภวาสวะแล้วมันทำลายอย่างไร พอมันทำลายออกไปแล้ว มันสิ้นกระบวนการของมันอย่างไร

มันเป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริงมันซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ ไม่ใช่ ปัจจยาการนะ อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา... โอ้โฮ สายการผลิตยาวไกลเลยนะ แล้วก็มานั่งเลาะกันทีละปมๆ นะ โลกทั้งนั้นนะ นี่วิทยาศาสตร์ไง

ถ้าในพระไตรปิฎกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้นะ เป็นพุทธวิสัย อจินไตย ๔ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปัญญากว้างขวางมาก ถึงเอาความรวดเร็วของจิตมาพูดเป็นทางวิชาการไว้ แล้วเราก็ไปท่องบ่นกันปากเปียกปากแฉะเลย

พอปากเปียกปากแฉะแล้ว พออารมณ์จินตนาการมันเกิดแล้วนะ โอ้โฮ ! แบ่งเป็นห้องๆๆ เลยนะ อวิชชา ปัจจยา สังขารา เข้าห้องนี้ก็ออกห้องนั้น.. ไปห้องนั้นก็ออกห้องนี้ ปัจจยาการไง ! ปัจจยาการ ! พูดกันปากเปียกปากแฉะ !

คนเห็นจริงไม่พูดอย่างนี้สักคำ พูดไม่ได้ ความเห็นจริง ถ้าเห็นจริง ข้อวัตรตามความเป็นจริงมันจะรู้ของมันตามความเป็นจริง ถ้าความรู้จริงอันนี้เกิดขึ้นมา มันเป็นมรรคผลนิพพานของใจดวงนั้น แบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“อานนท์ เราไม่ได้เอามรรคผลนิพพานของใครไปเลย”

ฉะนั้นเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันต้องพยายามประพฤติปฏิบัติให้มันเกิดขึ้นมาจากใจเรา ถ้ามันเป็นสมาธิ มันเป็นปัญญาก็ให้มันเกิดขึ้นมาจริงๆ

เราได้บวชได้เรียนนะ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร ความเป็นอยู่ เรานี่มันเหมือนกับคนมีหมวก ๒ ใบ...

ใบหนึ่ง.. เราบวชแล้วเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราอยากจะทำขึ้นมาให้เกิดมรรคผลในหัวใจของเรา

อีกใบหนึ่ง.. เรามีชีวิต ชีวิตของมนุษย์มันก็ต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็ต้องมี พอต้องมีขึ้นมามัน หมวกใบนี้มันจะทำให้เราอ่อนแอ ห่วงนักห่วงหนาว่าปัจจัยเครื่องอาศัยมันจะไม่มี พอไม่มีเราก็ไปห่วงโลก เราก็จะไปทำตัวเป็นโลก

แต่ถ้าเราห่วงธรรมของเรานะ เราจะไม่ห่วงหมวก ๒ ใบนี้ของเราเลย พยายามจะทำให้มีหมวกใบเดียว คือหน้าที่ของเราจะประพฤติปฏิบัติให้ไปถึงที่สุด หมวกของเราคือหมวกของสมณะ หมวกของเราคือหมวกที่เราเป็นภิกษุ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

หมวกอีกใบหนึ่ง ยอมรับจริงๆ ว่าเราเป็นมนุษย์ เรามีชีวิต เราต้องอาศัยสิ่งที่ดำรงชีวิตของเราไป ถ้าเราจะอาศัยสิ่งที่ดำรงชีวิตของเราไป เราก็ต้องตั้งใจของเรา ให้หมวกใบไหนมีน้ำหนักกว่ากัน

ถ้าหมวกที่เราเป็นภิกษุมีน้ำหนักมากกว่า มันจะไม่ห่วงสิ่งใดเลย จะอดหรือจะอิ่มอย่างไรก็เพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อการประพฤติปฏิบัติ สิ่งนั้นมันเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น ไม่ใช่บวชเป็นพระ ฆราวาสเขาก็มีของเขา เขากินดีอยู่ดีกว่าเราหลายร้อยหลายพันเท่า เขาอยู่ดีกว่าเรามากมายมหาศาลนัก

เขาเองเขาก็มีความทุกข์ เขาเองก็ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ เราเองเราเป็นนักบวช เราเองเราเป็นพระที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะไม่ต้องไปห่วงสิ่งนั้น เราต้องห่วงแต่ว่าเราจะต้องพยายามเอาตัวเราให้พ้นจากกิเลสให้ได้ เอาตัวเราให้พ้นจากทุกข์ให้ได้

ถ้าเอาตัวเราให้พ้นจากทุกข์ให้ได้ จิตใจเราจะเข้มแข็ง จิตใจเราจะอาศัยสิ่งนี้เป็นที่ตั้ง จะอยู่กับงาน จะอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติ เพราะเราต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เราอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติ จิตใจเรา สติ สมาธิเราก็อยู่ที่ข้อวัตรนั้น ข้อวัตรนั้นก็เป็นที่พึ่งอาศัยที่จะให้พาจิตใจเราให้พ้นจากกิเลสไปเรื่อยๆ ให้มันอ่อนแอไง

ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ธรรมและวินัยนี้เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นเครื่องขัดเกลาไม่ใช่ตัวชำระกิเลส แต่มรรคญาณ ความเห็นจริง ที่อาศัยเครื่องขัดเกลา อาศัยธรรมวินัยนี้เป็นที่อาศัย แล้วฝึกฝนบ่มเพาะให้จิตใจ ให้ปัญญามันเกิดขึ้นมา จิตใจปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาจากการบ่มเพาะ มันจะเป็นภาวนามยปัญญาของจิตของเรา

มันเป็นสิ่งที่สติปัญญาต่างๆ เกิดจากจิตของเรา ไม่ได้สั่งมาจากไหน ไม่ได้เอาค้นมาจากพระไตรปิฎก ! ไม่ได้เอาจากของครูบาอาจารย์องค์ใดมา ไม่ได้เอาจากของใครมาเป็นของเรา มันเกิดขึ้นมาจากฐานของจิต มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำ มันเกิดขึ้นมาจากมรรคญาณ แล้วมันก็กลับไปทำลายหัวใจของมัน ชำระกิเลสออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม !

วันนี้วันสิ้นปี เราต้องกำหนดเลยว่ากิเลสมันต้องสิ้นไปจากใจเรา ให้มีกำหนดเหมือนปีใหม่ปีเก่า ให้กำหนด ให้เรามีโอกาสของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ

ภิกษุ เราเป็นหมู่คณะกัน เราอยากจะให้มีความมั่นคงแข็งแรงในพุทธศาสนา ให้มีจุดยืนของเรา พุทธศาสนาจะเจริญในหัวใจของสัตว์โลก ไม่ใช่เจริญบนวัตถุก่อสร้าง ไม่ได้เจริญบนตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ ทั้งสิ้น มันเจริญในหัวใจ

ภิกษุของเรา หลวงปู่ฝั้น เราไปงานท่านบ่อยมาก เมื่อก่อนเวลาเขาแจกย่าม “พระฝั้น อาจาโร” คำว่าพระ.. ผู้ประเสริฐนะ คำว่าพระสมณศักดิ์ที่พุทธศาสนาให้กับพวกเรา เราก็เป็นพระกันแล้ว เราไม่ต้องไปเสนอตำแหน่งสิ่งใดๆ อีกแล้ว คำว่าพระนี่สูงสุดแล้ว

บัดนี้ ! เราได้เป็นพระ เป็นสงฆ์กันด้วยความสมบูรณ์แบบ เราประพฤติปฏิบัติมาเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อความสุขกับเรา เพื่อความเป็นจริงของเรา เอวัง